การปฏิรูป ดิจิทัล – AI จุดเปลี่ยนสำคัญในโลกพลังงาน
22 สิงหาคม 2567
ทุกวันนี้ ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเครื่องมือดิจิทัลต่างๆ มีศักยภาพในการปฏิรูปอุตสาหกรรมพลังงาน โดยสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการอย่างเหมาะสม
บทบาทของดิจิทัลในการเปลี่ยนแปลงพลังงาน
ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้กล่าวว่า การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเร่งให้เกิดการเปลี่ยนไปสู่ระบบพลังงานที่ลดการปล่อยคาร์บอนเร็วขึ้น ซึ่งในขณะนี้หลายบริษัทกำลังพยายามทำความเข้าใจถึงคุณค่าที่แท้จริงของการใช้ AI
อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคที่ขัดขวางการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย แม้ว่า AI สำหรับอุตสาหกรรมจะเป็นตัวเร่งให้มีการนำมาใช้งานก็ตาม ในการนี้ เราไม่จำเป็นต้องใช้ AI ทั้งหมดหรือไม่ใช้เลย แต่ควรเริ่มจากการใช้งานที่เกี่ยวข้องที่สุดสำหรับธุรกิจ
การเข้าใจศักยภาพที่แท้จริงของ AI
ฟิลิปป์ แรมบาค ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่าย AI ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า การนำ AI มาใช้ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเข้าใจถึงศักยภาพที่แท้จริงของ AI นอกเหนือจากการสาธิตที่ดูดีและน่าประทับใจ รวมทั้งต้องเข้าใจถึงผลกระทบต่อธุรกิจ
“การมีมุมมองที่เน้นธุรกิจเป็นศูนย์กลาง (Business-centric) จะช่วยให้ผู้นำสามารถตอบคำถามสำคัญได้ว่า ‘ควรใช้ AI หรือไม่‘”
สำหรับคำถามที่ว่า “การปฏิรูปสู่ดิจิทัลและ AI สำหรับอุตสาหกรรมให้ประโยชน์ในอนาคตอันใกล้อย่างไร?” สามารถตอบได้ในหลายมิติ ดังนี้
- ลดการปล่อยคาร์บอน : AI ช่วยปรับกระบวนการที่ใช้พลังงานสูงในโรงงานและอาคารต่างๆ ให้มีการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น คาดการณ์ความต้องการพลังงาน ปรับการใช้พลังงานให้เหมาะสม ลดต้นทุนและการบำรุงรักษา รวมถึงลดการปล่อยมลพิษ
- ควบคุมความต้องการพลังงาน : AI สามารถจัดการไมโครกริดและสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ หลีกเลี่ยงการใช้พลังงานเกินขอบเขต ช่วยบริหารจัดการด้านดีมานด์และซัพพลาย รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero
- เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน : AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยการใช้การวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงกระบวนการ ลดระยะเวลาดาวน์ไทม์ และบรรลุประสิทธิภาพได้อย่างน่าทึ่ง
- AI ศูนย์กลางของธุรกิจ : การนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพข้อมูล ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความเสี่ยงทางดิจิทัล
ความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุค AI
– คุณภาพของข้อมูลและความน่าเชื่อถือ : การพัฒนา AI ในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแมชีนเลิร์นนิ่ง หรือ Generative AI (GenAI) ล้วนต้องอาศัยข้อมูลที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม การฝึก AI ด้วยข้อมูลปริมาณมหาศาลที่มาจากอินเทอร์เน็ต อาจก่อให้เกิดความไม่แม่นยำและความอคติได้ ซึ่งทำให้ AI ที่พัฒนาขึ้นอาจไม่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบเข้มงวด เช่น อุตสาหกรรมพลังงาน
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นต้องให้มนุษย์เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและปรับปรุง AI โดยเฉพาะนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลและผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่สามารถช่วยตรวจสอบและปรับปรุงโมเดล AI ด้วยข้อมูลคุณภาพสูง เพื่อให้ผลลัพธ์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น
“หาก AI จะเข้ามามีบทบาทในการดำเนินงานประจำวัน การให้ความสำคัญกับคุณภาพของข้อมูล และการจัดการกับความอคติในข้อมูลฝึกถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง”
– ความปลอดภัยทางไซเบอร์และความเสี่ยงทางดิจิทัล : ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการจัดการความเสี่ยงทางดิจิทัลเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งสำหรับผู้บริหารหลายคน ในการกำหนดกลยุทธ์การใช้ AI องค์กรควรพิจารณาการทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายที่มีประสบการณ์ยาวนาน เพื่อให้มั่นใจว่า AI จะสามารถผสานรวมเข้ากับมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจ
– อนาคตของพลังงานด้วย AI : AI มีศักยภาพในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมพลังงานอย่างชัดเจน ซึ่งทำให้การนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้อย่างรวดเร็วเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นในฝั่งการผลิตหรือการใช้พลังงานเพื่อความยั่งยืน นอกจากนี้ การประสานความร่วมมือและนโยบายที่สนับสนุนการใช้ AI จะช่วยขยายขอบเขตการใช้โซลูชัน และเพิ่มศักยภาพให้อุตสาหกรรมพลังงานเป็นผู้นำในการปฏิรูประบบพลังงาน
“การเปลี่ยนแปลงที่ค่อยเป็นค่อยไปอาจไม่เพียงพอในยุคนี้ เราต้องนำ AI มาใช้ในการปฏิรูปทั้งด้านการผลิตและการใช้พลังงาน เพื่อก้าวไปสู่โลกที่สะอาดขึ้นและสร้างอนาคตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน”
แหล่งที่มา : https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1141346